“สมาธิสั้น” เป็นโรคที่รู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบัน จากการสำรวจ (พ.ศ. 2555) พบว่าเด็กวัยเรียนในประเทศไทยมีอาการของโรคสมาธิสั้นถึง 8% กล่าวคือในหนึ่งห้องเรียนที่มีนักเรียน 50 คนจะมีเด็กที่ป่วยด้วยโรคสมาธิสั้นอยู่ประมาณ 4 คน ดังนั้นหากรู้เท่าทันและรักษาได้อย่างทันท่วงที ก็สามารถทำให้เด็กมีอาการที่ดีขึ้นได้
อาการของเด็กสมาธิสั้น (ตามเกณฑ์วินิจฉัยของ DSM-5)
- อาการขาดสมาธิ
- ไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จ
- ขาดสมาธิในขณะทำงานหรือทำกิจกรรมอื่น
- ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย
- ไม่สามารถตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดได้ทำให้ทำงานผิดพลาดบ่อยๆ
- ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
- พยายามหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความคิดหรือสมาธิ
- วอกแวกง่าย
- ทำของใช้ส่วนตัวหรือของใช้ที่จำเป็นหายอยู่บ่อยๆ
- ขี้ลืม
- อาการซน อยู่ไม่นิ่ง และอาการหุนหันพลันแล่น
- ยุกยิก อยู่ไม่สุข
- นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆ
- ชอบวิ่ง ปีนป่าย
- เล่นเสียงดัง
- ตี่นตัวตลอดเวลา
- พูดมาก
- พูดโพล่งโดยยังฟังไม่จบ
- รอคอยไม่เป็น
- มักจะขัดจังหวะหรือแทรกเวลาผู้อื่นพูด
หากมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 มากกว่า 6 อาการขึ้นไป โดยที่อาการเกิดก่อนอายุ 12 ปี ซึ่งอาจมีลักษณะเด่นเฉพาะ 1 หรือข้อ 2 หรือทั้งสองข้อ มีโอกาสที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นได้
สาเหตุของสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้นเกิดจากความผิดปกติของสมอง คือ มีปริมาณสารเคมีบางตัวในสมอง (Dopamine, Noradrenaline) น้อยกว่าเด็กปกติ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์ การได้รับพิษสารตะกั่ว การสูบบุหรี่ของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด ภาวะแทรกซ้อนอื่นระหว่างตั้งครรภ์ เป็นต้น ส่วนการเลี้ยงดู การดูทีวี การเล่นเกมไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคสมาธิสั้น แต่อาจส่งผลให้อาการสมาธิสั้นมากขึ้นได้
การดูแลรักษาเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น
เป้าหมายของการรักษาโรคสมาธิสั้น คือ การช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมตัวเองให้มีความตั้งใจเรียนและทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งอาจต้องได้รับการรักษาหลายด้านร่วมกัน กล่าวคือ ด้านการรักษาด้วยยา เพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง
ด้านการปรับพฤติกรรมและการช่วยเหลือด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว
- จัดทำตารางเวลากิจกรรมในแต่ละวัน
- จำกัด เวลาดูทีวี / เล่นเกมคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ต
- จัดหาสถานที่ที่เหมาะสมในการทำการบ้านโดยไม่มีสิ่งรบกวน ถ้าเด็กวอกแวกหรือหมดสมาธิง่ายอาจต้องมีผู้ใหญ่ประกบระหว่างทำการบ้าน
- พูดหรือสั่งงานในขณะที่เด็กพร้อมฟัง ให้เด็กพูดทวนคำสั่งก่อนลงมือปฏิบัติ
- สั่งงานที่ละขั้นตอนให้กระชับ เข้าใจง่าย และคอยกำกับให้ทำจนเสร็จ
- หากเด็กทำผิด ผู้ปกครองควรสงบอารมณ์ตนเองและใช้ท่าที่จริงจังในการจัดการ ลดการลงโทษหากพฤติกรรมที่ไม่ดีเกิดจากอาการของโรค
- บอกเด็กล่วงหน้าถึงสิ่งที่ต้องการให้ปฏิบัติและชื่นชมทันทีเมื่อเด็กทำได้
- ให้เด็กมีโอกาสได้ใช้พลังงานให้เป็นประโยชน์ เช่น เล่นกีฬาหรือช่วยงานบ้านที่สามารถทำได้
ด้านการเรียน
ทางโรงเรียนควรมีส่วนร่วมในการดูแล เช่น จัดที่นั่งใกล้โต๊ะครู ห่างจากประตู หน้าต่าง เขียนการบ้านบนกระดานให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงการสั่งงานด้วยวาจา ตรวจสมุดจดงานว่าทำงานได้ครบถ้วนหรือไม่ หากเด็กหมดสมาธิอาจจัดกิจกรรมเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ช่วยลบกระดานดำ หรือแจกหนังสือ และควรติดต่อประสานงานกับผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น
หากสงสัยว่าเด็กมีโอกาสเป็นโรคสมาธิสั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม